กระทิงกลับมาแล้ว: ตลาดหุ้นพุ่งแรงจากดีลการค้าสหรัฐ-จีน 

2025-05-15 | ดีลการค้า , สหรัฐจีน

บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพิ่งเกิดขึ้น และวอลล์สตรีทกำลังส่งเสียงเฮ 

ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้น หลังจากสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าแบบไม่คาดคิด ข้อตกลงนี้ช่วยยกเลิกภาษีนำเข้า บรรเทาความตึงเครียด และผลักดันสินทรัพย์เสี่ยงให้ปรับตัวขึ้นแรง ดัชนี S&P 500 กระโดดเกือบ 4% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วน Nasdaq พุ่งยิ่งกว่า ตลาดในเอเชียพุ่งขึ้น และดัชนียุโรปก็ขยับตาม 

นี่คือการดีดกลับที่ทำให้ฝั่งหมีต้องกลับมาทบทวนมุมมองทั้งหมดใหม่ 

แล้วอะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้? นี่คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวแบบ V-shape ที่หลายคนเฝ้ารอใช่หรือไม่? หรือเป็นแค่ความผันผวนชั่วคราวในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่นิ่ง? 

การฟื้นตัวแบบ V-shape ถือเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ของตลาดในช่วงขาลง เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และรุนแรง: ร่วง แล้วพุ่ง ลองนึกถึงช่วงโควิด-19 ในปี 2020 หรือผลกระทบจาก Brexit หรือแม้แต่ปี 1987 ที่ความกลัวพุ่งถึงจุดสูงสุด ก่อนที่ตลาดจะดีดกลับอย่างรุนแรง 

แล้วคลื่นการฟื้นตัวรอบนี้ล่ะ? กำลังเริ่มสะท้อนรูปแบบเดิมที่คุ้นเคย 

ในประวัติศาสตร์ ดัชนี S&P 500 เคยสร้างการฟื้นตัวรูปแบบ V-shape ได้อย่างน่าทึ่ง ในช่วงวิกฤตโควิดปี 2020 ดัชนีร่วงลงกว่า 30% ก่อนจะพุ่งกลับขึ้นมา 70% ในเวลารวดเร็ว ในปี 2009 หลังวิกฤตการเงินโลกก็เกิดการฟื้นตัวลักษณะเดียวกันที่พุ่งถึง 65% แม้แต่เหตุการณ์พังหนักในปี 1987 ก็ยังตามมาด้วยการเด้งกลับถึง 57% 

โดยเฉลี่ย การฟื้นตัวแบบ V-shape เหล่านี้ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นถึง 48.3% หลังจากการร่วงแรง ตามกราฟข้อมูลจากประวัติศาสตร์การฟื้นตัวของดัชนี S&P 

และตอนนี้ ด้วยดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ตลาดอาจเพิ่งเจอตัวกระตุ้นรอบใหม่ เราได้ผ่านช่วงร่วงไปแล้ว การดีดกลับในสัปดาห์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวอย่างแท้จริง 

จะเรียกว่าเกมหมากรุก กลยุทธ์ 5 มิติ หรือการแสดงเชิงการเมืองก็แล้วแต่ แต่สไตล์การเจรจาของทรัมป์เพิ่งสร้างชัยชนะที่จับต้องได้  
 
หลังจากสงครามภาษีตอบโต้ยืดเยื้อ คำพูดตึงเครียด และความไม่แน่นอนทั่วโลก สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็ได้ตกลงในกรอบความร่วมมือที่ช่วยลดกำแพงทางการค้าหลายรายการ และเปิดโอกาสให้กับภาคเทคโนโลยี การผลิต และการเกษตร 

แม้หลายฝ่ายจะวิจารณ์ว่าแท็กติกของเขาเสี่ยงเกินไป แต่การเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์ก็สะท้อนสิ่งที่เขาเคยเขียนไว้ในหนังสือว่า “ดีลที่แท้จริง ชนะตั้งแต่ก่อนเซ็นแล้ว”  

เขาใช้แรงกดดัน ยืนหยัดมั่นคง และตอนนี้ทั้งสองประเทศต่างก็ได้ข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภายในประเทศของตน ยากที่จะไม่มองว่านี่คือฉากหนึ่งจากตำรา “ศิลปะแห่งการเจรจา” ที่กำลังเล่นสดให้เห็นตรงหน้า 

สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวดี แต่มันคือ “เชื้อเพลิง” ที่เติมความมั่นใจให้ตลาด และนี่คือเหตุผล: 

  • ความไม่แน่นอนทั่วโลกลดลง: ความตึงเครียดที่ลดลงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ช่วยลดความเสี่ยงปลายเปิดในตลาดโลก ซึ่งแปลว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น 
  • หุ้นวัฏจักรแข็งแรงขึ้น: กลุ่มวัสดุ อุตสาหกรรม และพลังงาน ปรับตัวขึ้นตามความหวังว่าเศรษฐกิจและปริมาณการค้าจะกลับมาคึกคัก 
  • ระดับเทคนิคสำคัญถูกทดสอบ: ดัชนี S&P 500 พุ่งทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน หากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ ก็มีแนวโน้มที่จะทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ 

แม้หุ้นเทคโนโลยียังคงเป็นจุดสนใจของพาดหัวข่าว แต่อย่ามองข้ามกลุ่มที่เคยล้าหลังในช่วงสงครามการค้า อย่างหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ (ที่พึ่งพาจีนอย่างมาก), หุ้นเครื่องจักรกลหนัก และบริษัทสินค้าผู้บริโภคข้ามชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง 

ข้อตกลงการค้านี้เปลี่ยนทิศทางของหุ้นที่อ่อนไหวต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลก หากแนวโน้มยังเดินหน้าต่อ กลุ่มเหล่านี้อาจกลายเป็นผู้นำในรอบขาขึ้นถัดไป 

ดัชนี Fear & Greed ขยับจาก “กลัวอย่างรุนแรง” ไปสู่ “โลภ” ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ กระแสการซื้อขายออปชันกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แม้แต่นักจัดการกองทุนที่เคยตั้งรับ ก็เริ่มกลับมาหมุนเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น 

นี่ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวของราคา แต่มันคือการพลิกของ “อารมณ์ตลาด” จุดเปลี่ยนทางจิตวิทยาที่บ่งบอกว่านักลงทุนไม่ได้แค่ตอบสนองต่อสถานการณ์ แต่กำลังเริ่มวางแผนและวางโพสิชันสำหรับรอบใหม่ 

ใช่ครับ การดีดกลับครั้งนี้แรงจริง ข่าวก็ดีจริง แต่ตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวในเส้นตรงเสมอไป 

ยังมีสัญญาณเตือนที่ควรระวังไว้บ้าง: 

  • ฤดูกาลประกาศงบใกล้เข้ามา: Q2 จะเปิดเผยให้เห็นว่าบริษัทต่าง ๆ รับมือกับเงินเฟ้อและการเติบโตอย่างไร 
  • เงินเฟ้ายังไม่หายไป: แม้การคลายความตึงเครียดทางการค้าจะช่วยได้บ้าง แต่ราคายังสูงและฝืดในหลายหมวด เช่น ที่อยู่อาศัยและบริการ 
  • เศรษฐกิจจีนยังเปราะบาง: ดีลนี้อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่การฟื้นตัวของจีนหลังโควิดยังไม่แน่นอนและไม่สม่ำเสมอ 

ดังนั้น จงมีสติ ขาขึ้นไม่ได้แปลว่าควรลงทุนแบบไม่คิด 

ในอดีต ความคืบหน้าในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มักจุดกระแสขาขึ้นในตลาดอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ดีลเฟสแรกในปี 2019 ที่เปิดฉากรอบขาขึ้นต่อเนื่องหลายเดือน หรือการที่จีนเข้าร่วม WTO ในปี 2001 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบูมครั้งใหญ่ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก 

หากข้อตกลงล่าสุดนี้นำไปสู่ความร่วมมือระยะยาว ก็เป็นไปได้ว่าเรากำลังจะได้เห็นรอบขาขึ้นใหม่ที่กินเวลาหลายเดือนอีกครั้ง 

และเทรดเดอร์ที่มองเห็นสัญญาณนี้ได้ก่อน? พวกเขาจะได้ “ขี่คลื่น V-shape” ตั้งแต่ต้นจนสุดทาง 

นี่ไม่ใช่แค่การเด้งกลับของตลาด แต่มันคือการเปลี่ยนโมเมนตัม 

ตลาดชื่นชอบความชัดเจน และดีลการค้านี้ก็นำสิ่งนั้นมาให้ เมื่อรวมกับบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น สัญญาณทางเทคนิคที่แข็งแรงขึ้น และแรงซื้อจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ฝั่งกระทิงก็มีโอกาสอย่างแท้จริง 

และจังหวะนี้ก็มาถูกเวลาที่สุด 

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะถือหุ้นระยะยาว เก็งกำไรระยะสั้น หรือแค่รอการยืนยันเชิงมหภาค ข้อความที่ชัดเจนคือ: ดีลนี้มีความสำคัญ 

ตั้งใจโฟกัส เตรียมตัวให้พร้อม 

เพราะการขึ้นรอบถัดไป อาจเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น 

เริ่มต้นเส้นทางการเทรดของคุณวันนี้ เพียงคลิกที่นี่ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-07-17 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังพุ่งขึ้น และอะไรคือปัจจัยเบื้องหลัง 

บิตคอยน์ ทำสถิติใหม่อีกครั้ง พุ่งทะลุ 123,000 ดอลลาร์ ดึงเหล่านักเทรดให้กลับเข้าสู่โหมดเสี่ยงเต็มพิกัด แต่คำถามคือ นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งรอบของกระแสเก็งกำไร หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างแล้วจริงๆ?  ถ้ามองลึกลงไป จะเห็นว่ามีพลังขับเคลื่อนสำคัญสองอย่างที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งหลายคนยังไม่ทันเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน  สิ่งแรกกำลังคลี่คลายอยู่ในวอชิงตัน ขณะที่อีกกระแสหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในระบบการเงินโลก โดยส่งสัญญาณล่วงหน้าแบบเดียวกับที่เคยหนุนให้บิตคอยน์พุ่งแรงมาแล้วหลายรอบ  และเมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังไต่ระดับขึ้น และทำไมรอบนี้อาจไม่ใช่แค่การพุ่งขึ้นชั่วคราวเหมือนที่ผ่านมา  กฎหมายคริปโตฉบับใหม่เปลี่ยนเกมทั้งกระดาน  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนบิตคอยน์ต้องเผชิญกับคำถามคาใจหนึ่งที่ยังไร้คำตอบจากฝั่งอเมริกา: สหรัฐฯ เอาจริงเอาจังกับคริปโตแค่ไหนกันแน่?  ตั้งแต่กรณีที่ SEC ไล่จัดการกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนต่างๆ ไปจนถึงการถกเถียงว่า ETH หรือ stablecoin ควรถูกจัดเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ และการขาดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง ทำให้เงินทุนจากสถาบันส่วนใหญ่มักเลือกอยู่เฉยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรกำลังผลักดันกฎหมายคริปโตชุดใหญ่หลายฉบับ โดยเฉพาะร่างกฎหมาย Financial Innovation and Technology for the 21st Century Act ที่ถูกออกแบบมาเพื่อระบุให้ชัดเจนว่าใครมีหน้าที่ดูแลอะไร มอบอำนาจกำกับดูแลบิตคอยน์และคริปโตประเภทอื่นให้กับ CFTC มากขึ้น พร้อมทั้งวางกรอบการขอใบอนุญาตระดับชาติให้กับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนและ stablecoin อย่างเป็นทางการ  ทำไมบิตคอยน์ถึงชอบร่างกฎหมายคริปโต  บิตคอยน์ไม่ได้พุ่งขึ้นเพราะมีร่างกฎหมายบางฉบับที่อาจจะผ่าน […]

article-thumbnail

2025-07-14 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

พรรคอเมริกาของ Musk ส่งสัญญาณบวกหรือลบต่อหุ้น TSLA? 

อีลอน มัสก์ กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องจรวดหรือหุ่นยนต์แท็กซี่ แต่เป็นการเปิดตัวขบวนการทางการเมืองของเขาเองในชื่อว่า “พรรคอเมริกา”  ในมุมแรกอาจดูเหมือนโปรเจกต์ส่วนตัวแปลกๆ ของมหาเศรษฐีอีกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตให้ดี มันอาจกลายเป็นหมากตัวใหม่ที่ส่งผลต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต และอาจเป็นแรงหนุนต่อหุ้น Tesla (TSLA) ในแบบที่นักลงทุน Wall Street หลายคนยังมองไม่เห็น  พรรคอเมริกาคืออะไร?  แล้วจริงๆ พรรคอเมริกาคืออะไร? และทำไมมัสก์ถึงสร้างมันขึ้นมา?  พูดง่ายๆ นี่คือคำตอบของอีลอน มัสก์ต่อระบบที่เขามองว่า “ล้มเหลว” พรรคอเมริกาเป็นขบวนการทางการเมืองใหม่ ที่ตั้งใจมาท้าทายระบบการผูกขาดของสองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ มัสก์ระบุว่า พรรคนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการพูด เปิดพื้นที่ให้การถกเถียงทางการเมืองกว้างขึ้น และอาจมีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านภาษีและกฎระเบียบที่กระทบต่อธุรกิจของเขาโดยตรง  ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเกินตัว โค้ดภาษีที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎระเบียบที่ขัดขวางเทคโนโลยีใหม่ๆ มัสก์ต้องการลุกขึ้นมาท้าทายทั้งหมดนี้ และสร้างระบบที่ให้ “ไอเดียที่ดีที่สุด” ชนะ ไม่ใช่ “คนที่วิ่งล็อบบี้เก่งที่สุด”  แต่มันยังมีอีกชั้นหนึ่ง พรรคอเมริกาดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ตอบโต้ของมัสก์ต่อภัยคุกคามอย่างข้อเสนอของทรัมป์ในการเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรป ซึ่งอาจกระทบต่อโรงงาน Tesla ในเบอร์ลิน การมีพรรคการเมืองของตัวเอง ทำให้มัสก์ไม่ได้แค่ตั้งรับ แต่รุกกลับเต็มที่ ตั้งเป้าสร้างบทสนทนาใหม่ในสังคม และผลักดันนโยบายที่จะทำให้สหรัฐฯ แข่งขันได้ในเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง  พูดให้เข้าใจง่ายๆ: พรรคอเมริกาคือวิธีของมัสก์ในการ […]

article-thumbnail

2025-07-03 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทองคำ vs บิตคอยน์: อะไรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2025? 

เมื่อพูดถึงการป้องกันความผันผวนของตลาด มีสินทรัพย์อยู่สองประเภทที่โดดเด่น: ทองคำและบิตคอยน์ หนึ่งในนั้นได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี ส่วนอีกตัวแม้จะอายุน้อยแต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง  และในตอนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มคลี่คลายลง และตลาดต่างจับตาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพาวเวลล์ สินทรัพย์ทั้งสองนี้ก็กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการดึงดูดเงินลงทุน  แล้วอะไรจะกลายเป็น “หลุมหลบภัยทางการเงิน” สำหรับที่เหลือของปี 2025? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน  ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญในตอนนี้  การเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการลดความตึงเครียดระดับโลก ได้ช่วยสลายความเสี่ยงระยะสั้นครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันก็เริ่มเย็นลง ขณะที่ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อก็เริ่มลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่า ความสนใจของตลาดจะหันไปจับตาธนาคารกลางสหรัฐว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด  นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทองคำและบิตคอยน์จะได้พิสูจน์ว่าใครคือผู้นำตัวจริงในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทั้งสองต่างมีแนวโน้มไปได้ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทั้งสองได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และทั้งสองยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่วิตกกังวลและต้องการปกป้องอำนาจการซื้อ  แต่ในวันนี้ ใครคือผู้ที่ยืนเหนือกว่า?  ทองคำ vs บิตคอยน์: เปรียบเทียบแบบชัดๆ ในปี 2025  ก่อนจะลงลึกว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดของทั้งสองฝั่ง มาดูภาพรวมกันก่อนว่า ทองคำและบิตคอยน์แตกต่างกันอย่างไรในปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้  ตอนนี้คุณก็เห็นภาพรวมแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าทำไมทองคำอาจยังเปล่งประกายได้อีกในปีนี้ และอะไรอาจเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์พุ่งแรงยิ่งขึ้น  ทองคำ: เป้าหมายถัดไปอาจอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์จริงหรือ?  มาเริ่มกันที่ทองคำ ล่าสุดราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 3,500 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย  อะไรคือปัจจัยหนุน? เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว […]